ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) โดยมีการเริ่มประชุมเวลา 10.00 น. ซึ่งหลังเปิดประชุมนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภารัฐสภา ได้เปิดโอกาสให้ นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล เสนอญัตติด้วยวาจาเพื่อทบทวนและเพิกถอนมติที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ในการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41 ที่กำหนดว่าญัตติใดเมื่อตกไปแล้วห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน ให้หมายรวมถึงการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีด้วย

โดยนายรังสิมันต์ ชี้แจงว่าญัตติดังกล่าวควรเป็นประเด็นที่ได้รับพิจารณาเป็นเรื่องด่วน ให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะมีการเสนอชื่อและลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีตามวาระที่ได้ลงกันต่อไป เพื่อให้เกิดความชัดเจนหากจะต้องมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้นอีกก็สามารถเสนอกันได้ ไม่เข้าเงื่อนไขของข้อบังคับการประชุมข้อ 41 แต่อย่างใด พร้อมทั้งยืนยันว่าการเสนอญัตติดังกล่าว ไม่ได้เป็นความพยายามที่จะให้มีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯอีกครั้ง เพราะสถานการณ์ตอนนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้อยู่ในสถานะเสนอชื่อใครเป็นนายกฯแล้ว 8 พรรคได้แยกย้ายกันไปแล้ว แต่เสนอญัตตินี้เพื่อให้กลับมาสู่ลู่ทางที่ถูกที่ควร

ซึ่งหลังจากนายรังสิมันต์ ได้นำเสนอญัตติดังกล่าวเป็นเวลา 13 นาที ประธานรัฐสภา ได้สรุปว่านายรังสิมันต์ได้นำเสนอให้สมาชิกรัฐสภาเข้าใจในญัตติดังกล่าวพอสมควรแล้ว จึงให้ยุติการนำเสนอ และประธานรัฐสภาได้แจ้งว่าตนได้ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาญัตติของนายรังสิมัน โดยฝ่ายกฎหมายมีความเห็นว่าเป็นญัตติซ้อน หากมีการทบทวนอาจจะทำให้การทำงานของสภาหมดความน่าเชื่อถือ จึงเป็นว่าไม่ควรจะให้มีการทบทวน เพราะจะกระทบกับบันทัดฐานของรัฐสภา ดังนั้นประธานรัฐสภา จึงใช้อำนาจตามมารัฐธรรมนูญมาตรา 80 ให้อำนาจประธานรัฐสภาดำเนินกิจการของสภาเป็นไปตามข้อบังคับ จึงอาศัยข้อบังคับที่ 151 ประกอบมาตรา 5 จึงเห็นว่าควรจะไม่รับญัตติดังกล่าวที่นายรังสิมันต์เสนอ

จากนั้น สส.พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นประท้วงการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภาว่าเป็นการขัดขวางการอภิปรายของนายรังสิมันต์ และไม่ทำตัวเป็นกลางในการทำหน้าที่ รวมทั้งมีการกล่าวหาว่าประธานรัฐสภารู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมากในการมีมติในการตีความข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อ 41

"วันนอร์" เผย กำหนดเวลาลงมติ โหวตนายกฯ เวลา 15.00น.

"ก้าวไกล" ประชุม สสคำพูดจาก สล็อต888. ยืนยัน ไม่ร่วมรัฐบาลกับ พลังประชารัฐ – รวมไทยสร้างชาติ

ซึ่งประธานรัฐสภายืนยันว่าไม่ได้ขัดขวาง เพราะถ้าขัดขวางคงไม่ได้ให้โอกาสนายรังสิมันต์อภิปรายแบบนี้ และยืนยันว่าตนวางตัวเป็นกลาง ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าตนรู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมากนั้นขอให้ถอนคำพูด เพราะวันนั้นตนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการลงมติวันนั้นเสียงข้างมากจะเป็นไปอย่างไร และก่อนการลงมติก็ไม่มีใครคัดค้านการลงมติตามมาตรา 151

โดยประธานรัฐสภา ได้บอกให้ นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ถอนคำพูดที่ประท้วงว่าประธานรู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมาก หากไม่ยอมถอนคำพูดจะไม่ให้พูดต่อ เพราะมองว่าเป็นการกล่าวหาที่รุนแรง ทำให้ประธานสภาเสียหาย แต่นายธีรัจชัยไม่ยอมถอน และเกิดการโต้เถียงระหว่างประธานสภาและนายธีรัจชัย จนกระทั่งประธานรัฐสภาสั่งให้นายธีรัจชัยต้องนั่งลง จนสุดท้ายนายธีรัจชัยยอมถอนคำพูดดังกล่าว

จากนั้นประธานรัฐสภา กล่าวในที่ประชุมว่าเราได้มีการทบทวนญัตติดังกล่าวมาพอสมควร และตนก็ขอใช้อำนาจประธานรัฐสภา ไม่ให้มีการทบทวนมติดังกล่าว